Related image



สินค้าออนไลน์กับการขายสินค้า

สินค้า หมายถึง

สินค้า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตน สามารถมองเห็น จับต้อง หรือสัมผัสได้ เช่น วัสดุ อุปกรณ์ สิ่งของเครื่องช่างๆและสามารถขนส่งหรือเคลื่อนย้ายไปมาได้
สินค้า หรือผลิตภัณฑ์ ( Product ) หมายถึง การนำผลิตผล ( Produce )หรือวัตถุดิบ ( Raw Material ) ที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อ ปลา แร่ธาตุ ฯลฯมาผ่านกรรมวิธีในการผลิต อาจจะใช้เครื่องจักร ออกมาเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์
ประเภทของสินค้า
  1. สินค้าแบบถาวร ได้แก่ สิ่งของที่ใช้แล้วไม่หมดไป เช่น รถยนต์ หรือสินค้าอุตสาหกรรม
  2. สินค้าแบบไม่ถาวร คือ ใช้แล้วหมดไป เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผงซักฟอก  สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน เป็นต้น
สินค้าอุปโภคบริโภค สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  1. สินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง กาแฟ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ฯลฯ
  2. สินค้าประเภทโลหะ เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง ดีบุก อลูมิเนียม ฯลฯ
  3. สินค้าประเภทพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ฯลฯ
ความสำคัญของสินค้า
สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของกิจการเป็นที่มาของรายได้ เมื่อนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค  รวมถึงกิจการใดที่สามารถนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นเป็นเจ้าแรก ธุรกิจหรือกิจการนั้นก็มีโอกาสเป็นผู้นำด้านการตลาดได้
โดยสรุป ความหมายที่แท้จริงของสินค้า จึงหมายถึงสิ่งที่ผู้ซื้อได้รับ ไม่สิ่งที่ผู้ขายได้ขาย อีกนัยหนึ่งก็คือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นต้องมีคุณภาพ จับต้องได้ คือการให้บริการ ประสบการณ์ และแนวความคิด ภาพรวมของข้อมูล สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นสินค้าด้วยเช่นกัน 
ธุรกิจออนไลน์ หมายถึง

ธุรกิจออนไลน์ หมายถึง การทำธุรกิจผ่านสื่อที่เราเรียกกันอินเตอร์เน็ต หรือ ธุรกิจออนไลน์
หมายถึง การผลิต การกระจายสินค้า การโฆษณา โปรโมท การบริการต่าง ๆ โดยใช้อินเตอร์เน็ต
1385058_390803777716321_2007106630_n
นั้นหมายถึง ธุรกิจทุกอย่างที่เราต้องการโปรโมท, ขาย, กระจายสินค้า, แนะนำสินค้าต่างๆ ในระบบของการทำงานด้านอินเตอร์เน็ต
โดยใช้รูปแบบของวิธีการทำงานต่างๆ หลากหลาย เช่น ทำแบนเนอร์ , ทำเว็บ, ทำบทความ ,การทำยูทูป หรือ การลงโฆษณาตามเว็บดังๆต่างๆ
 เพื่อให้ผู้คนที่สนใจ หรือ มีความต้องการอยู่แล้ว เข้ามาชมและซื้อสินค้ากับเรา ซึงจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายหรืออย่างเพียงแค่คุณมีอินเตอร์เน็ต
แถมสร้างหน้าร้านได้มากมายหลายหลายเก๋ไก๋ทันสมัยได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีระบบโซเชียลเน็ตเวริค์ที่เป็นการประสานงานทางลูกค้าได้แบบทันทีและรวดเร็วอีกทางหนึ่งด้วย
ไม่ว่าจะเป็น facebook , tawitter, อินสตาแกรม , we chat ,what app และอื่นๆอีกมากมาย ที่เราสามารถใช้สิ่งเหล่าเป็นการตลาดทำธุรกิจออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลาโดยเราไม่จำเป็นต้องลงโฆษณาทีวี


สินค้าแบบใดบ้างที่เหมาะกับการขายของออนไลน์?


1.สินค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)

สินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือ Niche Market เป็นกลุ่มสินค้าที่เน้นขายให้กับลูกค้าที่มีความสนใจเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เช่น กลุ่มคนที่ชื่นชอบการแต่งรถก็จะชอบซื้อหาอะไหล่รถยนต์ กลุ่มคนที่ชอบเกม การ์ตูนก็จะชอบหาซื้อชุดสำหรับแต่งคอสเพลย์ เป็นต้น
สินค้าเฉพาะกลุ่มอาจมีกลุ่มลูกค้าที่น้อยกว่าสินค้ายอดนิยมก็จริง แต่ก็มีข้อดีตรงที่มีคู่แข่งน้อย สินค้าหายากกว่า และเป็นที่ต้องการของลูกค้า จึงทำให้สินค้าเฉพาะกลุ่มเป็นสินค้าที่น่าจะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการได้ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

2.สินค้าไม่เป็นที่นิยม

สินค้าประเภทนี้จะเป็นสินค้าที่หมดความนิยมหรือเก่าแล้ว เช่น เทปเพลง หรือแผ่นเสียงหลายๆคนอาจจะคิดว่าสินค้าประเภทนี้ไม่น่าจะนำมาขายได้ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นสินค้าที่อาจจะสร้างกำไรได้ไม่แพ้สินค้าประเภทอื่น เพราะการขายประเภทนี้จะมีคู่แข่งในตลาดไม่มาก อีกทั้งยังถูกใจลูกค้านักสะสมของเก่า ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

3.สินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

การขายสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจะทำให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณดูน่าสนใจ เพราะลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมอาจจะไม่เคยเห็นสินค้าแบบนี้มาก่อน และถ้าหากพวกเขารู้สึกชอบสินค้าในร้านค้าออนไลน์ของคุณ พวกเขาก็จะต้องมาซื้อกับคุณเท่านั้น เพราะหาซื้อที่อื่นไม่ได้ ตัวอย่างของสินค้าเหล่านี้ เช่น สินค้า Handmade หรือสินค้าที่มีลวดลายเฉพาะ เป็นต้น

4.สินค้าตามเทรนด์

สินค้าประเภทตามติดเทรนด์ก็เป็นสินค้าอีกประเภทหนึ่งที่คุณสามารถมั่นใจได้ว่าจะมีคนซื้อแน่นอน เพราะมีความต้องการในตลาดสูง หากคุณเลือกขายสินค้าประเภทนี้คุณจำเป็นจะต้องตามติดกระแสตลอดเวลา เช่น ช่วงนี้คนกำลังนิยมใช้สินค้านำเข้าจากเกาหลี คุณก็อาจจะหาเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางที่นำเข้าจากเกาหลีมาขายในร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่กระแสเริ่มหมดไป คุณก็จะต้องเริ่มต้นหาของยอดฮิตอย่างอื่นมาขายแทน เพราะกระแสต่างๆนั้นมักจะมาไวไปไวเสมอ

มารู้จักข้อดีและข้อเสียของการเปิดร้านค้าออนไลน์ (E-commerce)กันเถอะ




E-commerce ย่อมาจาก Electronic Commerce (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งหมายถึง การดำเนินธุรกิจขายสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันได้มีบริการให้ลูกค้าชำระเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ด้วย ทำให้การซื้อขายออนไลน์ครบวงจร โดยที่คุณไม่ต้องก้าวออกจากบ้านเลยสักก้าวเดียว


ข้อดีของ e-commerce 

ในมุมมองของเจ้าของร้าน

- สะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการเปิดร้าน เพียงแค่ไม่กี่คลิกก็มีร้านค้าได้แล้ว

- ใช้งบประมาณลงทุนในการเปิดร้านไม่มากเท่าเปิดร้านขายของจริง เพียงแค่พ่อค้าแม่ค้าลงทุนสต๊อคสินค้าเท่านั้น ค่าทำเว็บร้านค้าออนไลน์อาจมีค่าบริการรายปีที่ค่อนข้างถูก หรือบางทีก็ให้บริการฟรีตลอดชีพเลยก็มีค่ะ

- สามารถตั้งร้านเพียงคนเดียวได้ ไม่ต้องจ้างลูกจ้างมาช่วยงาน เพราะเราแค่รอรับออเดอร์จากหน้าคอมพ์เท่านั้นเอง

- สามารถลงโฆษณาเจาะกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุด เช่น ลง ads ใน facebook , ลง adword ใน google

- เปิดร้านรอรับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง : เนื่องจากเป็นบริการออนไลน์ เมื่อเราได้ลงสินค้าบนเว็บไซต์แล้ว ลูกค้าจะเขามาเลือกชมสินค้าตอนไหนก็ได้ ไม่มีเวลาปิดร้าน

- ง่ายต่อการติดต่อสั่งซื้อ ทำให้ได้รายการสั่งซื้อเยอะขึ้น เนื่องจากเดี๋ยวนี้มีช่องทางติดต่อออนไลน์ที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ทั้งไลน์ whatsapp facebook chat ออนไลน์ต่างๆ ทำให้ขายของได้สะดวกขึ้นด้วยเช่นกัน 

- เปิดการค้าแบบไร้พรมแดน คนจากต่างประเทศสนใจก็เข้ามาสั่งซื้อสินค้าของเราได้ เพียงแต่เราอาจจะต้องทำเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานแบบ 2 ภาษาเอาไว้เท่านั้นเอง

ในมุมมองของลูกค้า
- สะดวกต่อการสั่งซื้อ ไม่ต้องเดินทางไปเลือกถึงร้าน แต่เปิดคอมพ์ หรือมือถือก็สั่งซื้อได้แล้ว การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะกับสินค้าที่ไม่ได้หาซื้อได้แถวใกล้ๆ บ้านเรา ซึ่งหากเราออกเดินทางไปซื้ออาจจะต้องเสียทั้งเวลา และค่าเดินทาง เผลอๆไปแล้วสินค้าหมด หรือร้านปิดอีก ดังนั้นการซื้อจากออนไลน์นับเป็นประโยชน์อย่างมากค่ะ

- ไม่ต้องหิ้วของหนักๆ เวลาที่ซื้อเยอะ เพียงแค่สั่งของออนไลน์ ก็มีบริการขนส่งสินค้ามาถึงหน้าบ้าน โดยที่ไม่ต้องแบกของให้เมื่อยเลยค่ะ

- สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา ไม่ต้องรอ : บางครั้งกลางดึกจู่ๆ ก็นึกอยากจะซื้อของขึ้นมา เราก็กดสั่งซื้อได้เลย ไม่ต้องรอให้ร้านเปิดเพราะร้านค้าออนไลน์เปิดตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว

- สามารถเปรียบเทียบราคากับร้านอื่นได้ ใครขายถูกกว่าเราก็ไปซื้อของร้านนั้น


ข้อเสียของ e-commerce 

- เนื่องจากการเปิดร้านค้าออนไลน์ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย นอกจากจะทำให้ลูกค้าเข้ามาดูข้อมูลสินค้าได้แล้ว ยังทำให้คู่แข่งเข้ามาดูได้ด้วย จึงอาจเกิดผลเสียเช่น การตัดราคา เป็นต้น

- การจัดส่งสินค้ามีค่าใช้จ่าย และอาจใช้เวลาในการจัดส่งหลายวัน ลูกค้าจึงจำเป็นต้องรอของ

- มีความเสี่ยงจากการโดนไวรัสเล่นงานร้านค้าออนไลน์ของเราได้ จึงต้องหมั่นทำการ back up ข้อมูลอยู่เป็นประจำ หรือเลือกใช้บริการร้านค้าออนไลน์กับเว็บที่มีบริการ back up ข้อมูลให้เราอยู่เสมอด้วยนะคะ


- ทั้งลูกค้าและพ่อค้าแม่ค้าจำเป็นต้องใช้งานอินเตอร์เน็ตเป็น ดังนั้นกลุ่มลูกค้าจึงเป็นวัยรุ่นจนถึงวัยกลางคนเป็นส่วนมาก เพราะวัยผู้สูงอายุคงไม่ค่อยได้ใช้เทคโนโลยีกันแล้ว

- สินค้าที่แสดงบนเว็บ อาจไม่เหมือนของจริงที่ได้รับ

- ร้านค้าในอินเตอร์เน็ตมีมากมาย เพราะเปิดร้านง่าย จึงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณามาก เพื่อให้ร้านของเราโดดเด่น

- เวลาซื้อของไม่ใช่การแลกเปลี่ยนการซึ่งหน้า แต่เป็นการชำระเงินก่อนได้ของ จึงมีความเสี่ยงที่จะโดนโกง เราจึงต้องหาร้านค้าที่ลงทะเบียนบัตรประชาชนหรือบัญชีธนาคารเอาไว้แล้วเพื่อความปลอดภัยระดับหนึ่งค่ะ


                                       4 วิธีขายของออนไลน์ให้ ปัง!
หลายๆท่านอาจกำลังเจอกับปัญหาโลกแตกที่ว่า ทำไมลูกค้าไม่ยอมซื้อของจากเว็บเราซักที บางคนก็ตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่า เราทำอะไรพลาดกันแน่?
วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันดูว่า ลูกค้ามีความต้องการอะไรบ้าง ก่อนที่จะเลือกซื้อสินค้าผ่านทางเว็บของเรา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ข้อเสียส่วนใหญ่ที่ทำให้ลูกค้าไม่อยากซื้อของในอินเตอร์เน็ท เป็นเพราะ ลูกค้านั้นไม่สามารถลองสินค้าได้ เช่น การลองสัมผัส การลองสวมใส่ ซึ่งจุดนี้เองทำให้ลูกค้าเกิดความกังวลต่อตัวสินค้า อย่างเช่นว่า ขนาดของสินค้าจะมีขนาดที่ใหญ่หรือเล็กกว่าในรูปไหม? หรือซื้อมาแล้วจะใส่ได้รึเปล่า?
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับความต้องการของลูกค้ากันดีกว่า
Online shopping website on laptop screen with female hands typing
กฏข้อที่ 1 ความประทับใจแรก
เชื่อว่าหลายๆคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ น่าจะต้องเคยเจอเว็บที่พอเราเปิดเข้าไปครั้งแรกแล้ว ถึงกับปิดแทบไม่ทันเลยทีเดียวเนื่องด้วยความที่มันดูใช้งานยาก ไม่สวยถูกใจเรา
แน่นอนตัวลูกค้าของเราเอง ก็อยากใช้เว็บที่ถูกใจเช่นกัน! มีผลวิจัยออกมาว่าลูกค้าที่เกิดความไม่ประทับใจในครั้งแรกที่เข้าเว็บ จะทำให้มีโอกาสที่ลูกค้าคนนั้น กลับมาใช้เว็บอีกครั้งมีน้อยมาก
ซึ่งจุดหลักๆที่ลูกค้าอยากได้จากการเข้าเว็บครั้งแรกมี 3 ข้อใหญ่ๆด้วยกัน ได้แก่
1.การออกแบบเว็บที่มีความสวยงาม
2.การทำให้เว็บเข้าใจง่าย
3.ความเร็วในการโหลดตัวเว็บ
หากเรากำลังเปิดเว็บขายของอยู่ ลองกลับไปเช็คกันดูว่าทั้ง 3 ข้อนี้ มีข้อไหนที่เราตกหล่นไปไหม อีกทั้งยังรวมไปถึงการออกแบบตัวเว็บของเรา ให้เข้ากับหน้าจอมือถืออีกด้วย เพราะเราคงปฎิเสธไม่ได้ว่า ยุคนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้ smartphone ในการเลือกซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก
 กฏข้อที่ 2 การบอกต่อใน Social
นี่เป็นข้อที่มีความสำคัญที่สุดในกฏ 4 ข้อเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าเว็บของเรานั้นจะมีความสวยงามและมีความน่าใช้ขนาดไหนก็ตาม แต่ลูกค้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าของเรานั้นดีจริงหรือไม่
มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อสินค้า โดยดูจากคนใกล้ตัว เช่น เพื่อนหรือญาติสนิท ส่วนรองลงมานั้น จะเป็นการเลือกที่จะเชื่อการรีวิวบน Social Network ต่างๆเป็นหลัก เช่น Facebook, Pantip มากกว่าที่จะเชื่อการรีวิวจากเว็บผู้ขายโดยตรง อีกทั้งลูกค้ายังใช้การรีวิวพวกนี้ เป็นตัวเปรียบเทียบความเหมือนของตัวสินค้า ที่แต่ละเว็บได้นำเสนอไว้อีกด้วย
 กฏข้อที่ 3 สร้างความน่าเชื่อถือ
แน่นอนว่าเมื่อเราอยากจะใช้การชำระเงินผ่านระบบต่างๆทางอินเตอร์เน็ท อย่างแรกเลยที่เราต้องคำนึงถึงนั่นก็คือ เว็บมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างไร (มากน้อยแค่ไหน) เว็บเชื่อถือได้หรือไม่
วิธีการแก้ปัญหานี้ได้แก่ การทำให้ระบบชำระเงินของเว็บเรา มีความเป็นสากล เช่น เลือกใช้บัตรเครดิตที่มีชื่อเสียงหรือ payment gateway (ระบบจ่ายเงิน)ที่น่าเชื่อถือ
ที่สำคัญเรายังสามารถเพิ่มความสบายใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น โดยการทำให้เว็บของเรา มีระบบ Live Chat เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อ มีการลงเบอร์โทรและ e-mail ให้ชัดเจนบนหน้าเว็บของเรา เพื่อที่ลูกค้าจะได้รู้สึกสบายใจในการชำระเงิน เพราะสามารถติดต่อเจ้าของเว็บได้ง่าย หรือถ้าสามารถเพิ่มนโยบายรับประกันสินค้า เช่น รับประกัน 15 วัน หากสินค้าชำรุด สามารถปลี่ยนได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าขึ้นไปอีก
กฏข้อที่ 4 เปลี่ยนลูกค้าขาจร ให้เป็นลูกค้าขาประจำ
ในเมื่อเราเริ่มมีลูกค้าอยู่ในมือของเราแล้ว ทำไมเราไม่ใช้พวกเขาให้เป็นประโยชน์ล่ะ! หลังจากที่เราขายสินค้าจนลูกค้าเชื่อมั่นและชื่นชอบในสินค้าของเราแล้ว เราควรจะทำให้ลูกค้าอยากกลับมารีวิวสินค้าของเราด้วย อย่างเช่น เราอาจจะลองจัดโปรโมชั่นให้คูปองแก่ลูกค้า หากรีวิวสินค้าให้เรา หรืออาจจะมีส่วนลดในครั้งต่อๆไปถ้าหากมีการรีวิวสินค้า แล้วถ้าเราสามารถทำให้ลูกค้าถ่ายรูปคู่กับสินค้าของเราก็จะยิ่งเป็นผลดีขึ้นไปอีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สกุลเงินในอาเซียน

มรดกโลกในอาเซียน